กลุ่ม 1 (Mineral Base Oil) ต้นทุนต่ำ มีความหนืดสูง สีเข้ม นิยมใช้ผลิตจารบี, น้ำมันเครื่องจักร, น้ำมันเครื่องรถบรรทุกใหญ่
กลุ่ม 2 (Hydrocracking) นิยมใช้ผลิตน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ในบางแบรนด์ใช้กลุ่ม 2 ผสมกับกลุ่ม 3 เพื่อให้ผ่านมาตรฐาน "สังเคราะห์แท้" แต่จะเน้นกลุ่ม 2 เป็นหลักเพื่อให้ได้น้ำมันเครื่องราคาต่ำ เน้นการแข่งขันด้านราคาไม่เน้นคุณภาพ
กลุ่ม 3 (High Viscosity Index Synthetic Base Oil) เป็นเกรดดีที่สุดที่เหมาะกับการหล่อลื่นเครื่องยนต์ และไม่กัดซีลยาง น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ของแบรนด์คุณภาพจะใช้กลุ่ม 3 กลุ่มเดียวผสม Additive ผู้ใช้งานจะรู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ที่ผสมเบสออย์กลุ่ม 2 กับ ไม่ผสม
กลุ่ม 4 (PAO - Poly Alpha Olefin) คุณภาพสูง การผลิตยากและต้นทุนสูง เหมาะกับเครื่องยนต์รอบจัดมากๆ เช่น รถแข่ง แต่มีข้อเสียทำให้ซีลยางแข็งเร็ว จึงไม่สามรถใช้กลุ่ม 4 อย่างเดียวได้ จึงต้องผสมกลุ่ม 3 และ Additive เพื่อลดข้อเสียดังกล่าว หลายๆแบรนด์พยามยกระดับน้ำมันเครื่องโดยเน้นจุดขายด้วยการชู PAO มีราคาหลากหลายบางแบรนด์ แต่ช้าก่อน!!! แต่ละแบรนด์มีสัดส่วนในการผสม PAO ที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ 5-75% แหละผู้จำหน่ายบางราคาที่ไม่ทราบถึงความแตกต่างตรงนี้เห็นว่าเป็น PAO ก็ตั้งราคาสูง ดังนั้นการที่หน้าฉลากเขียนว่า PAO จึงยังไม่อาจตัดสินได้ว่าน้ำมันเครื่องตัวนี้มีคุณภาพตามราคาเสมอไป
กลุ่ม 5 (Polyester/Ester) คุณภาพสูงที่สุด กรรมวิธีการผลิตยุ่งยากที่สุด ต้นทุนสูงมาก จึงไม่ค่อยมีการนำมาผลิตน้ำมันเครื่อง (Millers Oils ที่ผสมกลุ่ม 5 มีในรุ่น EE Performance และ CFS)